เอกสารด้านการสอนคำสอนของพระศาสนจักร
1. คู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไป (GCD) – 1971
การประชุมสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 วินิจฉัยว่าคู่มือแนะแนวสำหรับการสอนคำสอนของคริสตชนถูกร่างขึ้น เพื่อประสานและทำให้กิจกรรมเกี่ยวกับคำสอนของพระศาสนจักรมีชีวิตชีวาขึ้น กฎเรื่องสำนักงานอภิบาลของสังฆราชในพระ
ศาสนจักรกำหนดว่า “คู่มือแนะแนวทั่วไปเกี่ยวกับการดูแลวิญญาณต้องได้รับการอนุมัติให้นำไปใช้ โดยพระสังฆราชและพระสงฆ์ในเขตปกครอง (1) ผลก็คือเพื่อที่จะปรับกิจกรรมเกี่ยวกับคำสอนของพระศาสนจักรสากล หลังจากที่ได้ศึกษาและปรึกษามาเป็นระยะเวลานาน คู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไป ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971โดยสมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์ เอกสารของพระศาสนจักรคาทอลิกนี้ปูทางเพื่อการปรับปรุงวาระของการสอนคำสอนในพระศาสนจักรทั้งมวล การปรับคู่มือคำสอนให้เหมาะสมในเบื้องต้น เพื่อให้การอบรมและแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการประสานงาน และการทำให้กิจกรรมคำสอนของพระศาสนจักรมีชีวิตชีวาขึ้น
ในปี
ค.ศ. 1964 พระศาสนจักรในประเทศฝรั่งเศสได้พิมพ์คู่มืออภิบาลคำสอนชื่อว่า
La Directoire de Pastoral Cateehetique2
ระยะเวลาไม่นานก่อนการตีพิมพ์
คู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไป ในปี ค.ศ. 1970
การประชุมของพระสังฆราชชาวอิตาเลียนได้ตีพิมพ์คู่มือการสอนคำสอนชื่อ Il rennovamento della catechesi (การฟื้นฟูการสอนคำสอน) ทันทีหลังจากการตีพิมพ์คู่มือภาษาอิตาเลียน ได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อว่า การปรับปรุงการศึกษาข้อความเชื่อใหม่ และได้รับการยอมรับจากสภาพระสังฆราชแห่งออสเตรเลีย ซึ่งได้เพิ่มเติมบทเสริมเน้นเรื่องโรงเรียนคาทอลิกออสเตรเลีย คู่มือทั้ง 2 เล่มนี้เป็นการอภิบาล และให้แนวทางมากกว่าคู่มือ
คู่มือทั้ง 2 นี้ได้มีอิทธิพลต่อการเขียนของคู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไป
คู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไปถูกตีพิมพ์ในวันอาทิตย์ปัสกา วันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1971
และเป็นผลของการประชุมใหญ่เกี่ยวกับการสอนคำสอนสากล ซึ่งประชุมในกรุงโรมเมื่อวันที่ 20 – 25 กันยายน
ค.ศ. 1971 เพื่ออภิปรายคู่มือแนะแนวและสภาพการสอนคำสอนในพระศาสนจักร
1.1
การประพันธ์คู่มือแนะแนวการสอนคำสอน
สภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 เสนอแนะการพิมพ์คู่มือแนะแนวการสอนคำสอน และงานนี้ถูกมอบหมายให้แก่สมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์ในเดือนมิถุนายน
ค.ศ. 1966 ในเวลานั้นสมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์มีพระคาร์ดินัล Jean Villot เป็นประธาน ซึ่งเข้าร่วมประชุมในสัปดาห์แห่งการศึกษาคำสอนสากลที่เมือง
Medellin (ประเทศโคลอมเบีย) ในปี ค.ศ. 1968 ภายใต้การนำของท่าน มีพระสังฆราช 8 องค์ ได้พบปะกันในกรุงโรมในเดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1968 เพื่อวางแผนจัดทำคู่มือ ทั้ง 8
ท่าน นั้นประกอบด้วยพระสังฆราช Anthyme Bayala แห่งวอลตาตอนบน, อัฟริกา ; พระสังฆราช
Benitez แห่ง Vilarrica ประเทศปารากวัย ; Canon Joseph Bournique จากปารีส, ประเทศฝรั่งเศส ; มองซินญอร์
Aldo Del Monte จากอิตาลี ; Reverend Robert Gaudet จากประเทศแคนาดา มองซินญอร์
Russel Neighbour จากสหรัฐอเมริกา Reverends
Klemens Tilmann และ A. Zenner จากเยอรมัน ในการปรึกษากับสมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์
สมณกระทรวงเพื่อพระสัจธรรมของความเชื่อ และสมณกระทรวงเพื่อพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
คณะกรรมการนี้เตรียมคู่มือแนะแนวทั่วไปสำหรับการสอนคำสอน คู่มือนี้มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพระสังฆราช สภาพระสังฆราชและโดยทั่วไปสำหรับทุกคนที่อยู่ภายใต้การนำ และทิศทางการนำของพระสังฆราชผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับงานคำสอน จุดประสงค์ของคู่มือนี้ “ก็เพื่อจัดเตรียมหลักการพื้นฐานของเทววิทยาด้านการอภิบาล
โดยงานอภิบาลในศาสนบริการด้านพระวาจา สามารถกำหนดและควบคุมได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น”
1.2
โครงสร้างของคู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไป(GCD)
คู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไปแบ่งออกเป็น
6 ตอน
ตอนที่ 1 กล่าวถึง “ความเป็นจริงของปัญหา”
และภาพรวมของสถานการณ์ในโลกและภายในพระศาสนจักร ตอนนี้พูดเกี่ยวกับการปรับสภาสังคายนาวาติกัน ครั้งที่
2 ให้เหมาะสม โดยความเคารพต่อการรับรองต่อไปว่าพระศาสนจักรและโลกต้องมีการเสวนา เพราะว่าต่างฝ่ายต่างเสริมสร้างและท้าทายซึ่งกันและกัน
ตอนที่ 2 ของคู่มือแนะแนวการสอนคำสอนทั่วไปกำหนดการสอนคำสอนเป็น
“ศาสนบริการพระวาจา” ตามบทบาทของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และการประกาศพระวรสาร ศาสนบริการพระวาจาแสดงออกด้วยคำพูดถึงประเพณีการดำเนินชีวิตของพระศาสนจักร เป้าหมายของศาสนบริการนี้คือ “กระตุ้นความเชื่อที่มีชีวิต ซึ่งหันจิตใจสู่พระเจ้า
กระตุ้นการปฎิบัติตามด้วยการกระทำนำไปสู่ความรู้ที่มีชีวิต ในการแสดงออกซึ่งประเพณีและพูด แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสำคัญที่แท้จริงของโลกและการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์
ตอนที่ 3 เป็นเค้าโครงเนื้อหาของคำสอนและเริ่มจากทัศนะของพระธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่กู้ที่พบในพระคัมภีร์ และการดำเนินประเพณีของพระศาสนจักรอย่างต่อเนื่อง คำอธิบายของเนื้อหาเป็นเหตุการณ์ไปสู่การเผยแสดง
ตอนที่ 4 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “องค์ประกอบของทฤษฎีการสอน และพื้นฐานสู่ความสำคัญของครูสอนคำสอน
ครูคำสอนทำหน้าที่ในบทบาท 2 ด้าน
ในฐานะของแบบอย่างความเชื่อและในฐานะมืออาชีพ
ลำดับที่เหมาะสมของสิ่งที่จดจำ การสร้างสรรค์ของผู้เรียนคำสอนและกลุ่ม
ตอนที่ 5 คำนึงถึงเรื่อง “การสอนคำสอนตามระดับอายุ” การสอนคำสอนเป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต
และเกิดขึ้นในระดับอายุที่สืบต่อกันเป็นลำดับ
ซึ่งสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตและการบรรลุวุฒิภาวะของผู้ฟังพระวาจา ซึ่งเข้าใจความเชื่อและคำถามเกี่ยวกับชีวิตในหลากหลายรูปแบบตามระดับพัฒนาการของพวกเขา
ตอนที่ 6 ตอนที่สำคัญลำดับสุดท้าย เป็นการทำงานร่างคู่มือแนะแนวก่อนหน้านี้ในปี
ค.ศ. 1969 เกี่ยวกับเครื่องมือช่วยสอนคำสอนและทรัพยากรซึ่งส่งเสริมงานสอนคำสอน ดำเนินต่อเนื่องจากสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่
2 เกี่ยวข้องในการทำให้เกิดความปลอดภัยในการปฎิสัมพันธ์ ระหว่างพระศาสนจักรทั่วโลกและการประชุมของพระสังฆราช เพื่อความมุ่งหมายในการวางโครงการเกี่ยวกับการสอนคำสอนเพื่ออนาคต
ตอนสุดท้าย เป็นคำตอบต่อการโต้แย้งคำสั่งของการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกและการใช้โทษบาป
1.3
ความสำคัญเกี่ยวกับวิชาครูคริสตศาสนธรรมของ GCD
ความเข้มข้นของคู่มือแนะแนวเป็นเรื่องเกี่ยวกับการอภิบาล
นำมาปฎิบัติได้และเป็นกาพย์กลอนด้วย ผู้อ่านพบว่ามันเป็นการช่วยเหลือและน่าสนใจ คู่มือแนะแนวการสอนแสดงเป้าหมายของการสอนคำสอน คำสอนเหมือนกับความเชื่อเจริญเต็มที่ วาดภาพเหมือนของใบหน้าคนที่มีความเชื่อ เหมือนกับของขวัญที่ลึกซึ้งและลึกลับซึ่งอยู่ในชีวิตของคริสตชน
โดยปราศจากความเต็มใจหรือการคาดหวัง ความลึกลับของความเชื่อทำงานในชีวิตของคริสตชนในภาพรวมของบุคคล การเยียวยาการพัฒนาความเชื่อของคู่มือแนะแนวการสอนคำสอน เผยให้เห็นความก้าวหน้าในคำบรรยายพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษย์ ในฐานะของคนซึ่งเจริญเติบโตในความเชื่อ การทำงานเกี่ยวกับการสอนคำสอนได้ถูกค้นพบใหม่ในฐานะของการทำงานเกี่ยวกับพระวาจา ซึ่งต้องการการกลับคืนไปสู่แหล่งต้นกำเนิด : พระคัมภีร์และพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ การสนับสนุนที่สำคัญของคู่มือ คือ ทำให้เอกสารของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่
2 เป็นพื้นฐานของการทำงานเกี่ยวกับวิชาครูสอนคำสอนแนวใหม่ เอกสารของสภาจำนวน 14 ฉบับ จาก 16 ฉบับ ถูกอ้างถึงในเนื้อหาและมีการอ้างอิงถึงเกือบ
150 ครั้ง ใน 134 บทความของคู่มือ
GCD แสดงให้เห็นมิติของการสอนคำสอนเกี่ยวกับมนุษย์ และทำให้พระศาสนจักรเกิดการเปลี่ยนแปลง จากรูปแบบการสอนคำสอนแบบดั้งเดิมมาเป็นแบบประสบการณ์ ซึ่งเน้นสถานการณ์จริงของคนและความเชื่อของเขา แสดงให้เห็นประสบการณ์ของมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลางของการสอนคำสอน และกล่าวว่าประสบการณ์ดังกล่าวช่วยทำให้ “ข่าวสารของคริสตชนสามารถเข้าใจได้มากขึ้น” เน้นเรื่องความสำคัญของการสอนคำสอนผู้ใหญ่ และยืนยันว่าเป็น “รูปแบบสำคัญของการสอนคำสอน”
จุดอ่อนประการหนึ่งของคู่มือ ก็คือ ไม่เน้นมิติของความยุติธรรมของการสอนคำสอน
การสอนคำสอนไม่ใช่งานที่ครุ่นคิดถึงตนเอง การทำให้ครูสอนคำสอนศักดิ์สิทธิ์ มีศรัทธาแก่กล้าและเคร่งในศาสนา แต่โดยพื้นฐานแล้วเป็นการกระทำที่คิดถึงผู้อื่น ทำให้การสอนคำสอนใช้ประโยชน์ในการบริการผู้อื่นด้วยความรัก
2.
พิธีรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน - 1972
เอกสารสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่
2 เรื่องพิธีกรรม Sacrosanctum Concilium
เรียกร้องให้มีการพิจารณาแก้ไขพิธีการล้างบาปสำหรับผู้ใหญ่ และการกลับคืนดีของการเตรียมเป็นคริสตชน การเตรียมตัวเป็นคริสตชนสำหรับผู้ใหญ่ประกอบด้วยขั้นตอนชัดเจนหลายขั้น เพื่อทำให้กลับคืนสภาพเดิมและนำมาใช้ในการไตร่ตรองของผู้ใหญ่ ที่มีอำนาจปกครองของพระศาสนจักรท้องถิ่น โดยเหตุนี้หมายความว่าช่วงเวลาของการเรียนคำสอนเพื่อเตรียมตัวเป็นคริสตชน ซึ่งมีเจตนาให้เป็นระยะเวลาของการสอนที่เหมาะสม
อาจจะทำให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ ที่ประกอบในช่วงระยะห่างของเวลาตามลำดับ ต่อหน้าคณะที่ปรึกษาผู้ใหญ่ที่ประสงค์จะเป็นคาทอลิก ได้รับการแนะนำจากพระสงฆ์เจ้าอาวาส และรับศีลล้างบาปในพิธีเป็นส่วนตัวท่ามกลางเพื่อนและสมาชิกในครอบครัว ภายหลังการประชุมสังคายานาวาติกันครั้งที่ 2
กระบวนการเริ่ม ปฏิรูปพิธีการล้างบาปสำหรับผู้ใหญ่ สมณกระทรวงเพื่อพิธีกรรม Divine worship ได้เตรียมเอกสารพิธีการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน และสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6
ได้ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1972 เอกสารนี้จัดทำขึ้นสำหรับชุมชนคริสตชนทั่วโลก ได้บรรยายกระบวนการสอนคำสอน พิธีกรรมสำหรับการเตรียมตัวและการรับผู้ใหญ่หรือเด็กเข้าสู่พระศาสนจักร
2.1 โครงสร้างของพิธีรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน
(
RCIA)
พิธีรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน
(RCIA)
ถูกแบ่งเป็น 2 ภาค ภาคแรก กล่าวด้วยพิธีการรับสมาชิกใหม่ที่เป็นผู่ใหญ่ ภาคนี้บรรยาย ถึงศาสนบริการ ตำแหน่ง หน้าที่ เวลา และสถานที่ของการรับสมาชิกใหม่และการดัดแปลงให้เหมาะสม ในพิธีนี้สามารถทำได้โดยสภาพระสังฆราช พระสังฆราชท้องถิ่นและพระสงฆ์ พี่เลี้ยง พ่อแม่ทูนหัว พระสังฆราช พระสงฆ์
สังฆานุกร และครูสอนคำสอนมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการเตรียมตัวผู้สมัคร
ภาคสอง ของพิธีรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน กล่าวถึงขอบข่ายของการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน
พิธีรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชนพิจารณาการเริ่มเป็นคริสตชนว่า เป็นกระบวนการที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ระยะของการเปลี่ยนแปลง
แบ่งระยะของการเปลี่ยนแปลงเป็น 4 ระยะ ระยะแรกที่สุด
เป็นระยะของการสืบสวนซึ่งจบด้วยพิธีของการยอมรับของผู้เตรียมตัวเข้าเป็นคริสตชน ระยะที่ 2 ระยะของผู้เตรียมตัวเป็นคริสตชน ซึ่งเริ่มด้วยพิธีของการยอมรับและตามด้วยการสอนคำสอน จนกระทั่งถึงพิธีการของการเลือกสรร ระยะที่
3 ระยะของความสำเร็จ (ความสว่าง)
ซึ่งเริ่มด้วยการเตรียมตัวรับศีล
เพื่อการฉลองปัสกาและการรับศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มชีวิตคริสตชน ระยะที่ 4 ระยะของการสอนคำสอนหลังการรับศีลล้างบาป และระยะนี้ขยายออกไปตลอดเทศกาลปัสกา ในแต่ละขั้นตอนของทั้ง 4 ขั้น รวมถึงการสอนคำสอนเกี่ยวกับสัญลักษณ์ พระคัมภีร์และบทสวดภาวนา คำสอนเกี่ยวกับประเด็นศีลธรรม คำสั่งสอน ความยุติธรรม
การสวด ชุมชน และความสัมพันธ์ของพวกเขาในการดำเนินชีวิตประจำวันถูกสานอยู่ในทั้ง
4 ขั้นตอนนี้
2.2
ความสำคัญของการสอนคำสอนในพิธีรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน
พิธีการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชนเปลี่ยนรูปแบบการสอนแบบส่วนตัว เป็นการสอนคำสอนสร้างชุมชน บรรยายการเริ่มเข้าอยู่ในชุมชนคริสตชน การเดินทางของการเปลี่ยนแปลงซึ่งชุมชนคริสตชนมีบทบาทสำคัญ
ในการสอนคำสอนชุมชนมีส่วนแบ่งปันเกี่ยวกับประเพณี ซึ่งได้รับตกทอดมา ประวัติศาสตร์ พิธีกรรมทางศาสนา ชีวิต ความหมายและคุณค่า
ครูคำสอนซึ่งอยู่ในชุมชน เป็นสัญลักษณ์ของพระธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่กู้
หลักความเชื่อ สู่ความสมัครใจ เพื่อว่าจะได้ไม่ใช่เป็นเพียงคำสั่งสอนที่พวกเขาจะได้เรียนรู้เท่านั้น แต่เป็นการประกาศความเชื่อที่จะต้องดำเนินชีวิต
พิธีการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชนให้ความรู้เรื่องคำสอน เป็นกระบวนการที่ค่อยๆ ขยับผ่านไปในระยะหรือขั้นตอนต่างๆ หรือผ่านเสาประตูทั้ง 2 ข้าง ที่แบ่งกระบวนการสอนคำสอนออกเป็น 4 ระยะ และชี้ให้เห็นความสำคัญทางพิธีกรรมในคำสอน พิธีการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชนเป็นพิธีที่พิเศษ
ซึ่งเป็นพิธีเดียวที่จัดให้มีมิติของการสอนคำสอน
และพิธีกรรมในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างคำสอนและพิธีกรรม โดยทางโครงสร้างของวงจรการสอนคำสอนและพิธีกรรม “ รูปแบบของการสอนคำสอนที่แสดงให้เห็นในพิธีการรับผู้ใหญ่เข้าเป็นคริสตชน เป็นตัวแทนของการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนคำสอนที่ดีที่สุดในศตวรรษที่
20 รวมความเข้าใจในเรื่องของสัปดาห์แห่งการศึกษาคำสอนจาก
Eichstatt (เมืองไอชแตก)
ไปสู่ Medellin (เมืองเมเดลลิน)”
3. การประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน –
1975
คำชักชวนในการประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบันของสมเด็จพระสันตะปาปา ถูกประกาศโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 เมื่อวันที่
8 ธันวาคม ค.ศ. 1975 การฉลองปีที่
10 ของการปิดประชุมสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่
2 และหนึ่งปีต่อจากนั้นท่านได้เรียกประชุมสมัชชาพระสังฆราช เพื่อกำหนดหัวข้อการประกาศ พระวรสารให้เฉพาะเจาะจง
การประชุมสมัชชาพระสังฆราชในปี ค.ศ. 1974
อภิปรายการประกาศพระวรสารเป็นงานในพระศาสนจักร
พระสังฆราชที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาร้องขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาได้พูดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสมัชชา และให้แนวทางเพื่อการประกาศพระวรสารต่อพระศาสนจักรโดยรวม
การประชุมสมัชชาพระสังฆราชปี ค.ศ. 1974
ไม่ได้จัดทำแนวทางการประกาศพระวรสารเป็นลายลักษณ์อักษร แต่พระสังฆราชสนับสนุนพระสันตะปาปาให้กำหนดทิศทางของเทววิทยา การอภิบาลในเรื่องการประกาศพระวรสาร และการประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบันจึงเกิดขึ้น ข้อแนะนำของสมเด็จพระสันตะปาปาอุทิศทั้งหมดต่อหัวข้อของการประกาศพระวรสาร เป็นหนึ่งในเอกสารพิเศษที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่
20
ในหนทางหนึ่งผู้เขียนเอกสารนี้คือการประชุมสมัชชาพระสังฆราชในปี
ค.ศ. 1974 แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 เป็นผู้แต่งของหนังสือการประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน
สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่า พระองค์เขียนเอกสารนี้เพื่อรับรองผู้ที่กำลังประกาศพระวรสาร และเพื่อสนับสนุนพวกเขาในพันธกิจ พระองค์ต้องการผู้ประกาศพระวรสาร “ในเวลาแห่งความไม่แน่นอนและสับสนนี้ เพื่อทำให้งานนี้สำเร็จด้วยความรัก ความกระตือรือร้นและความชื่นชมมากยิ่งขึ้น”
เป้าหมายของเอกสารนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นหนทางที่พระศาสนจักรในปลายศตวรรษที่
20 สามารถประกาศพระวาจาอย่างมีประสิทธิผล โดยผ่านทางงานเตรียมประกาศพระวรสาร การป่าวประกาศและการสอนคำสอน การประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบันถูกเขียนขึ้นอย่างไตร่ตรอง เพื่อให้การช่วยเหลือและความมั่นใจต่อทุกคน ซึ่งเอาใจใส่ต่องานที่สำคัญของพระศาสนจักรในการประกาศพระวรสาร
ความหวังของสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6
ทั้งก่อนและหลังจากการตีพิมพ์คำแนะนำนี้ ก็เพื่อกระตุ้นความสนใจและศรัทธาแรงกล้าสำหรับงานประกาศพระวรสาร เพื่อว่า “โลกในยุคของเราซึ่งกำลังแสวงหา บางครั้งด้วยความปวดร้าว บางครั้งด้วยความหวัง จะได้สามารถรับข่าวดีไม่ใช่จากผู้ประกาศพระวรสาร ซึ่งเศร้าสลด ท้อแท้ เบื่อหน่ายหรือเป็นทุกข์ แต่จากผู้ที่ทำงานด้านพระวาจาซึ่งมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ด้วยความศรัทธาแรงกล้า ได้รับความสุขจากองค์พระคริสตเจ้ามาก่อน และผู้ซึ่งมีความเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อว่าพระอาณาจักรจะได้รับการประกาศและพระศาสนจักรจะได้ตั้งอยู่ในท่ามกลางโลก”
3.1
โครงสร้างของการประกาศพระวรสารในโลกยุคปัจจุบัน
หนังสือการประกาศพระวรสารในโลกยุคปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น
7 บท เริ่มต้นด้วยการตั้งศูนย์กลางของการประกาศพระวรสารที่พระเยซูคริสตเจ้าและพระศาสนจักร การประกาศพระวรสารไม่สามารถที่จะเป็นที่เข้าใจได้ หากไม่ได้มีการอ้างอิงถึงพระเยซูคริสตเจ้า หรือไม่สามารถได้รับการยอมรับนอกเหนือจากพระศาสนจักร เพราะมันเป็นพันธกิจของพระศาสนจักร
บทที่ 2 ของหนังสือการประกาศพระวรสารในโลกยุคปัจจุบัน ได้นิยามความหมายของการประกาศพระวรสาร กล่าวว่า
การประกาศพระวรสารคือการประกาศพระคริสตเจ้าแก่ผู้ซึ่งไม่รู้จักพระองค์ โดยการเทศน์สอน
การสอนคำสอนและการรับรองศีลล้างบาปและศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ
“สำหรับพระศาสนจักร การประกาศพระวรสารหมายถึง การนำข่าวดีไปสู่มนุษย์ทุกชนชั้น และโดยทางอิทธิพลของข่าวดีนี้ จะเปลี่ยนมนุษย์จากภายในและทำให้เป็นคนใหม่”
บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังทำให้สิ่งสร้างทั้งมวลให้เป็นสิ่งใหม่”
บทที่ 3 กล่าวถึงเนื้อหาของการประกาศพระวรสาร มีองค์ประกอบที่สำคัญและรองลงมา เนื้อหาที่สำคัญคือ ใจความที่มีชีวิตซึ่งไม่สามารถถูกขยายความหรือละเลย โดยปราศจากการทำให้ธรรมชาติของการประกาศพระวรสารเจือจางลงอย่างจริงจัง เนื้อหาที่สำคัญของการประกาศพระวรสารคือ ความรักของพระเจ้าและการไถ่กู้ของพระเยซูคริสตเจ้า “เพื่อการประกาศพระวรสารก่อนอื่นใด ต้องเป็นพยานในรูปแบบที่ง่ายและตรงไปตรงมาต่อการเผยแสดงของพระเจ้า โดยพระเยซูคริสตเจ้า ในพระจิตเจ้าด้วยการเป็นพยานว่าพระบุตรพระเจ้าทรงรักโลก
- พระองค์ได้ทรงมอบการเป็นอยู่แก่สรรพสิ่งและได้เรียกมนุษย์ไปสู่ชีวิตนิรันดร” การประกาศพระวรสารจะมีอยู่เสมอไป
- เป็นรากฐาน, ศูนย์กลางและในเวลาเดียวกันเป็นจุดหมายของชีวิต
- การประกาศที่ชัดแจ้งว่า ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า
พระบุตรของพระเจ้า ได้ถูกทำให้เป็นมนุษย์
ผู้ตายและกลับคืนชีพ การไถ่กู้ได้ถูกมอบแก่มนุษย์ทุกคน
เป็นของขวัญจากความกรุณาและเมตตาของพระเจ้า
บทที่ 4 กล่าวถึงวิธีการของการประกาศพระวรสาร และแสดงพยานแห่งชีวิต การเทศน์สอนที่มีชีวิต พิธีกรรมแห่งพระวาจา คำสอน สื่อสารมวลชน
การติดต่อระหว่างบุคคลและศีลศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะเป็นวิธีการสำหรับการประกาศพระวรสาร
โดยการคำนึงถึงการเทศน์สอน สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ทรงเน้นว่า ความเชื่อมาจากสิ่งที่ได้ยิน ดังนั้นการประกาศพระวรสารด้วยคำพูดยังคงมีเหตุผลที่จะมีอยู่ตลอดไป ซึ่งเน้นเรื่องการเทศน์ของพระสงฆ์จะยังคงมีคุณค่าต่อสัตบุรุษ
บทที่ 5 แสดงถึงผู้ได้รับประโยชน์ของการประกาศพระวรสาร บทนี้แสดงให้เน้นถึงการประกาศพระวรสารว่าเป็นการประกาศข่าวดีแก่สิ่งสร้างทั้งปวง
(มก.16:15) ผู้ได้รับประโยชน์ของการประกาศพระวรสารคือ ผู้ที่ไม่ใช่คริสตชน ผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่ได้ถือปฎิบัติ จำนวนที่เพิ่มขึ้นของคาทอลิกไม่ได้มากกว่าวัฒนธรรมทางโลกอีกต่อไป มันได้กลายเป็นวัฒนธรรม คาทอลิกจำนวนมากได้เมินเฉยต่อเสียงเรียกแห่งศีลล้างบาปของตนเอง
สมเด็จพระสันตะปาปาสนับสนุนพระศาสนจักรให้
“เสาะหาวิธีการและภาษาสำหรับการเสนอที่เหมาะสม หรือเป็นตัวแทนแก่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง ถึงการเผยแสดงของพระเจ้าและความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า”
บทที่ 6 กล่าวถึงผู้แทนในการประกาศพระวรสาร เอกสารแสดงให้เห็นพระสันตะปาปา พระสังฆราช พระสงฆ์
นักบวช ฆราวาส ครอบครัวและเยาวชน ในฐานะงานของการประกาศพระวรสาร
ผู้ประกาศพระวรสารรับใช้ในฐานะเครื่องมือของพระเจ้า ในการเป็นสื่อข่าวดีแก่ผู้อื่น เพื่อว่าผู้ประกาศ พระวรสารเป็นเครื่องมือนี้ และประกาศพระวรสารด้วยความไว้ใจและอย่างจริงจัง
สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6
ยืนยันว่าต้องยึดหลัก 2 ประการนี้ไว้ในใจ ประการแรก ผู้ประกาศพระวรสารต้องไม่ถือว่าพันธกิจนี้เป็นอำนาจของเรา เป็นการริเริ่มของเราหรือของเธอ เพราะการประกาศพระวรสารโดยพื้นฐานเป็นกิจการของพระเจ้า ประการที่สอง ผู้ประกาศพระวรสารต้องกระทำโดยสัมพันธ์กับพระศาสนจักรและผู้อภิบาล
(Pastors)
บทที่ 7 และบทสุดท้าย แสดงให้เห็นจิตวิญญาณของการประกาศพระวรสาร
โดยทางอำนาจของพระจิตที่ทำให้คนได้รับพรพิเศษของการเป็นผู้ประกาศพระวรสาร และงานประกาศพระวรสารจึงถูกทำให้บรรลุผล “พระจิตผู้ซึ่งทุกวันนี้เช่นเดียวกับสมัยแรกเริ่มของพระศาสนจักร ได้แสดงในผู้ประกาศพระวรสารทุกคน ซึ่งได้ยอมให้ตนเองได้รับการดลใจโดยพระองค์ พระจิตได้วางคำพูดที่ริมฝีปากของเขาซึ่งเขาไม่สามารถค้นพบได้ด้วยตนเอง ในเวลาเดียวกันพระจิตจูงใจวิญญาณของผู้ฟังให้เปิด รับข่าวดีและพระอาณาจักรที่จะถูกประกาศ”
3.2 ความสำคัญของหนังสือการประกาศพระวรสารในยุคปัจจุบัน
การประกาศพระวรสารในโลกยุคปัจจุบัน ยืนยันว่าการประกาศพระวรสารเป็นมากกว่าการประกาศพระวาจาของพระเจ้าสู่ผู้ไม่มีความเชื่อ การเทศน์สอนและการสอนคำสอนเป็นงานและรูปแบบของการประกาศพระวรสาร การเทศน์สอนและการสอนคำสอนเสาะหาการเปลี่ยนแปลงและการกลับใจภายใน “ทั้งสองอย่างเป็นการประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้า เป็นงานที่สำคัญในพันธกิจของพระศาสนจักร ทั้ง 2 อย่าง
เป็นการแสดงความเชื่อและรูปแบบของความเชื่อ
และทั้งสองนั้นถูกทำด้วย ความเคารพอย่างยิ่งต่อผู้ได้รับการประกาศพระวรสาร
เอกสารชี้ให้เห็นว่าพระศาสนจักรมีหน้าที่ประกาศพระวรสาร”
“ปัจจุบันมีผู้ได้รับศีลล้างบาปจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ประกาศยกเลิกการรับศีลล้างบาป แต่เขาเมินเฉยโดยสิ้นเชิงต่อศีลล้างบาป และไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมกับศีลล้างบาป” การประกาศพระวรสารในโลกยุคปัจจุบันรับรองพลังที่ซ่อนเร้นของข่าวดี ซึ่งสามารถมีพลังต่อความกลัวบาปของมนุษย์ การสอนคำสอนสามารถเปลี่ยนแปลงมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงเรียกร้องโดยพระวาจาของพระเจ้า ด้วยความงามและพลังแห่งการประกาศพระวรสาร การประกาศพระวรสารได้รับการพรรณนาว่า เป็นข่าวสารคริสตชนสำหรับประชากรของยุคสมัยนี้” การประกาศพระวรสารประกอบขึ้นด้วยพันธกิจที่สำคัญของพระศาสนจักร
การสอนคำสอนเป็นวิธีการที่ทรงพลังของการประกาศพระวรสาร” ความฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเด็กๆ และเยาวชนจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ ผ่านทางการสอนคำสอนพื้นฐานทางศาสนาอย่างเป็นระบบ เนื้อหาของความจริงที่มีชีวิตซึ่งพระเจ้าปรารถนาที่จะบอกแก่เรา และที่ซึ่งพระศาสนจักรได้เสาะหาที่จะแสดงในรูปแบบที่หรูหรายิ่งขึ้นในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน
4. การสอนคำสอนในยุคปัจจุบัน (Catechesi
Tradendae ;CT) – 1979
เพื่อที่จะให้วิสัยทัศน์ใหม่ของการสอนคำสอน การประชุมสมัชชาของพระสังฆราชในปี ค.ศ. 1977
ตัดสินใจพิมพ์เอกสารเรื่องเทววิทยาการสอนคำสอน
ผลที่เกิดขึ้นคือสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่
2 ประกาศคำแนะนำของพระสันตะปาปา ชื่อ
การสอนคำสอนในยุคปัจจุบัน Catechesi
Tradendae (CT) ในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1979 ในปีที่ 2
แห่งสมณสมัยของพระองค์ สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ไม่พึงพอใจที่มีแค่เพียงการประชุมสัมชชาเรื่องการประกาศพระวรสารเท่านั้น พระองค์ได้ทรงเรียกให้มีการประชุมสมัชชาพระสังฆราชสากล
ครั้งที่ 5 ในปี ค.ศ. 1977 หัวข้อ “การสอนคำสอนในยุคสมัยของเรา, โดยเฉพาะแก่เด็กและเยาวชน” ช่วงปลายของการประชุมสมัชชาของพระสังฆราช ได้เตรียมเอกสารมีชื่อว่า “สารถึงประชากรของของพระเจ้า” ซึ่งแสดงถึงแนวคิดสำคัญของความรอบคอบ พระสังฆราชได้ขอร้องสมเด็จพระสันตะปาปาให้พิจารณาคำปรึกษาของพวกท่าน และเตรียมคำแนะนำของสมเด็จพระสันตะปาปา “การสร้างงานเสร็จสมบูรณ์เร็วขึ้นโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่
6 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2
ได้กำหนดวิสัยทัศน์ของการสอนคำสอนสำหรับพระศาสนจักรสากล และสถานที่ของกิจกรรมนี้ในชีวิตแห่งการอภิบาลของพระศาสนจักร”
เนื่องจากคำร้องขอของการประชุมสมัชชาพระสังฆราชในปี
ค.ศ. 1979 สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 เริ่มการเขียนคำแนะนำของพระสันตะปาปา Catechesi
Tradendae แต่การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1978
ทำให้การเขียนหยุดชะงักลง การเขียนได้ดำเนินต่อโดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอล
ที่ 1 ผู้สืบตำแหน่งต่อจากพระองค์ หลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่
1 การเขียนได้รับการดำเนินต่อโดยผู้สืบตำแหน่งต่อจากพระองค์ คือ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่
2 และถูกเรียกว่า Catechesi
Tradendae “จุดสำคัญ คำแนะนำถูกนำขึ้นมาอีก การไตร่ตรองซึ่งได้เตรียมโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่
6 ใช้ประโยชน์มากมายจากเอกสารที่เหลือจากการประชุมสมัชชา สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 1
ผู้ที่มีความกระตือรือร้นและพรสวรรค์ในฐานะครูคำสอนของท่าน ทำให้พวกเรารู้สึกพิศวง ได้นำเอกสารเหล่านั้นติดมือไปและกำลังเตรียมที่จะจัดพิมพ์ แต่ว่าพระองค์ก็สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหัน ดังนั้นข้าพเจ้าได้รับมรดกของพระสันตะปาปาทั้งสองพระองค์นี้
เพื่อตอบรับคำร้องขอซึ่งพระสังฆราชได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง ในตอนปลายของการประชุมสมัชชาสามัญครั้งที่ 4 ซึ่งได้รับการตอบรับจากสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล
ที่ 6 ในสุนทรพจน์ปิดการประชุมของพระองค์ ข้าพเจ้าทำดังนั้นเพื่อทำให้หน้าที่หลักประการหนึ่งในความรับผิดชอบในตำแหน่งพระสันตะปาปา
การสอนคำสอนได้รับการเอาใจใส่มากในงานของข้าพเจ้า
ในฐานะพระสงฆ์และพระสังฆราช”
จุดประสงค์ของการเชิญชวนของพระสันตะปาปาก็คือ
โดยทางพระศาสนจักรทั้งมวลควรทำให้ความเชื่อและการดำเนินชีวิตคริสตชนมั่นคงเข้มแข็งขึ้น ควรทำให้การเริ่มต้นที่พร้อมแล้วมีความแข็งขัน สดชื่น ควรกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ –
ด้วยความรอบคอบที่จำเป็นและควรจะช่วยเผยแพร่ความสุข ในการนำธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าที่มีต่อโลกไปสู่ชุมชน หนังสือ Catechesi Tradendae นำเสนอความหมายลึกซึ้งและความสำคัญของการสอนคริสตศาสนธรรม
(คำสอน) ในปัจจุบันในบริบทของเรา
4.1 โครงสร้างของ CT
เอกสารนี้แบ่งออกเป็น
9 บท ซึ่งในสองบทแรกให้พื้นฐานของการสอนคำสอน บทแรก คือ พระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางและอธิบายว่าหัวใจของการสอนคำสอนก็คือ พระบุคคลของพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระบุตรแต่องค์เดียวของพระบิดา...
เปี่ยมไปด้วยพระหรรษทานและความจริง ผู้ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อเรา และผู้ซึ่งปัจจุบันหลังจากเสด็จคืนพระชนมชีพ สถิตย์อยู่กับเราเสมอไป พระเยซูผู้เป็นหนทาง ความจริง และชีวิต และการดำเนินชีวิตแบบคริสตชนเกิดจากการดำเนินชีวิตตามพระคริสต์
บทที่ 2 เป็นการฝังรากเกี่ยวกับประเพณีทางประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร
บทที่ 3 และ 4 พูดเกี่ยวกับสถานที่ของการสอนคำสอนภายในชีวิตของพระศาสนจักร
บทที่ 3 นำเสนอการสอนคำสอนในมิติของการประกาศพระวรสาร “ ลักษณะเฉพาะของการสอนคำสอนแบบที่แตกต่างจากการกลับใจเข้าเป็นสมาชิกใหม่ –
การนำการป่าวประกาศพระวรสาร มีจุดประสงค์ 2 เท่าในการบ่มเพาะความเชื่อขั้นแรก และการให้การศึกษาสาวกของพระคริสตเจ้า โดยใช้ความรู้ลึกซึ้งและเป็นระบบมากขึ้นของบุคคลและสารของพระเยซู
คริสต์พระเจ้าของเรา”
เป้าหมายเฉพาะของการสอนคำสอนเพื่อพัฒนา, ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า,
ความเชื่อขั้นแรกและเพื่อบำรุงชีวิตคริสตชนของคนผู้มีความเชื่อทั้งเด็กและผู้สูงวัย ให้เจริญสู่ความเต็มเปี่ยมในแต่ละวัย ในหนังสือ Catechesi Tradandae ได้บรรยายการสอนคำสอนเป็นช่วงหนึ่งในกระบวนการของการประกาศพระวรสาร และที่เป็นการสนับสนุนในฐานะเป็นหัวข้อหลักในเอกสาร
บทที่ 4 นำเสนอพระคัมภีร์และธรรมประเพณีเป็นทรัพยากรหลักของการสอนคำสอน การสอนคำสอนจะดึงเนื้อหาจากแหล่งพระวาจาของพระเจ้าที่ทรงชีวิต ซึ่งถูกถ่ายทอดในธรรมประเพณีและพระคัมภีร์เสมอๆ
เพราะว่าธรรมประเพณีที่ศักดิ์สิทธิ์และพระคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดมัดจำที่ศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพระวาจาของพระเจ้า ซึ่งได้ถูกมอบหมายให้แก่พระศาสนจักร ได้รับการรำลึกถึงในสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่
2 ซึ่งปรารถนาให้งานของพระวาจา –
การเทศน์สอนในงานอภิบาล วิชาครูคำสอน และรูปแบบของการสอนของคริสตชนทั้งหมด ควรจะทำให้มีเนื้อหาที่อุดมสมบูรณ์และเจริญในความศักดิ์สิทธิ์โดยทางพระวาจาแห่งพระคัมภีร์
บทที่ 5 กล่าวถึงเนื้อหาของการสอนคำสอน เน้นว่าทุกคนต้องได้รับการสอนคำสอน ตามคู่มือการสอนคำสอนทั่วไป, Catechesi Tradandae ก็เน้นเรื่องการสอนคำสอนตามระดับอายุ
ทารก, เด็ก, วัยรุ่น, เยาวชน, ผู้พิการ เยาวชนที่ไม่ได้การสนับสนุนด้านศาสนา ผู้ใหญ่และคริสตชนสำรองได้รับการกล่าวถึงเป็นพิเศษในฐานะผู้ได้รับประโยชน์จากการสอนคำสอน
บทที่ 6 กล่าวถึงวิธีการและเครื่องมือในการสอนคำสอน ตามเอกสาร
เครื่องมือสื่อสาร การใช้สถานที่หลากหลาย โอกาสและการรวมตัวกัน การเทศน์พระคัมภีร์ วรรณคดีเกี่ยวกับคำสอนและหนังสือคำสอน เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความเชื่อ
บทที่ 7 นำเสนอกระบวนการของการแจ้งการสอนคำสอน เอกสารรับรองความหลากหลายของกระบวนการในการสอนคำสอนในยุคปัจจุบัน สามารถเป็นเครื่องหมายของความสำคัญต่อชีวิตและความฉลาด
อย่างไรก็ดีวิธีการที่เลือกนั้นต้องสอดคล้องกับกฎ
ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตของพระศาสนจักรโดยรวม กฎของความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าและความซื่อสัตย์ต่อมนุษย์ ในทัศนคติของความรักแบบเดียวกัน”
ใน 2
บทสุดท้ายเน้นอีกครั้งในเรื่องความสำคัญของการสอนคำสอน ในการสร้างเอกลักษณ์ของคริสตชนและความจำเป็นที่ว่าคริสตชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมในงานเกี่ยวกับการสอนคำสอน
บทที่ 8 กล่าวว่าเราอยู่ในโลกที่มีความยากลำบาก และในโลกนี้การสอนคำสอนควรจะช่วยคริสตชนให้เป็นแสงสว่างและเกลือ เพื่อความสุขของตนเองและเพื่อบริการสำหรับทุกคน
บทที่
9
กล่าวว่างานแห่งการสอนคำสอนมีส่วนเกี่ยวข้องสำหรับทุกคน และสมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะหว่านความกล้าหาญ ความหวังและความกระตือรือร้นอย่างมากมายลงในหัวใจของทุกคน ที่มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ซึ่งรับผิดชอบในงานการสอนเกี่ยวกับศาสนา และการฝึกหัดเพื่อชีวิตที่ดำเนินตามพระวรสาร
4.2
ความสำคัญเกี่ยวกับการสอนคำสอนของ CT
ใน Catechesi
Tradandae การสอนคำสอนได้ถูกนิยามไว้ว่า “การศึกษาของเด็กๆ
เยาวชนและผู้ใหญ่ในเรื่องความเชื่อ ซึ่งรวมถึงการสอนคำสอนของคริสตชนที่ได้รับการบอกกล่าวโดยทั่วไปในรูปแบบที่ประกอบขึ้นเป็นรูปแบบและเป็นระบบ ด้วยทัศนะที่จะรับผู้ได้ฟังเข้าสู่ชีวิตคริสตชนที่เปี่ยมด้วยความบริบูรณ์” จุดเน้นของการสอนคำสอนเป็นการสร้างความเชื่อขั้นแรก Catechesi
Tradandae เสนอความคิดรวบยอดของ “การสอนคำสอนอย่างเป็นระบบ” โดยคำว่าเป็นระบบ สมเด็จพระสันตะปาปาไม่ได้ทรงหมายถึงการไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แต่ออกแบบเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจน ตามเอกสารดังกล่าวการสอนคำสอนเป็นการทำงานของพระศาสนจักร
มิติของการสอนคำสอนที่พระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางถูกเน้นอย่างเข้มงวด
เอกสารย้ำความต้องการที่จะสนองตอบต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการพัฒนาการระหว่างประชากร การสอนคำสอนเป็นงานที่ธรรมดาสำหรับทุกคน และควรจะได้รับการกล่าวถึงแก่ทุกคน เหนือสิ่งอื่นใด การสอนคำสอนในยุคสมัยของเราสะท้อนภาพ ทั้งคู่มือการสอนคำสอนทั่วไปและการประกาศพระวรสารในโลกยุคปัจจุบัน ของสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 รูปแบบสะท้อนเอกลักษณ์ของบุคคลซึ่งเป็นผู้เรียน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เน้นย้ำการสอนคำสอนที่เป็นการให้การศึกษาและเป็นระบบมากกว่าที่พบในเอกสารก่อนหน้านี้
Catechesi Tradendae เป็นผลผลิตของยุคนั้น
ความสำคัญของการรับบุคคลเข้ามาสู่วิถีชีวิตคริสตชน และกระบวนการทำให้ความเชื่อเติบโตเต็มที่คือการได้ข่าวเอกสารนี้
5. คู่มือสำหรับครูคำสอน (GC) – 1993
คู่มือสำหรับครูคำสอน (GC)ได้รับการตีพิมพ์โดยสมณกระทรวงเพื่อการประกาศพระวรสารสู่ปวงชน ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1993 หลังจากการพิมพ์หนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก และ CCC ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงของผู้มีอำนาจ ในหนังสือคู่มือสำหรับครูสอนคำสอน เอกสารกล่าวถึงหัวข้อธรรมชาติ บทบาท
หน้าที่และการสร้างครูสอนในพื้นที่ทำงาน เอกสารนี้ได้รับการแนะนำให้แก่ครูคำสอนที่เป็นฆราวาสเป็นอันดับแรก และแก่พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวช ผู้ฝึกหัดและสัตบุรุษ เพราะว่าการเชื่อมโยงที่เข้มแข็งระหว่างองค์ประกอบของชุมชนพระศาสนจักร
แต่ว่ามีผู้เข้าชมมากกว่าบุคลากรที่ทำงาน
ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานสอนคำสอน สามารถเรียนรู้จากปรีชาญาณที่นำไปปฎิบัติได้
คู่มือสำหรับครูคำสอนเป็นผลจากการประชุม เมื่อ
27 – 30 เมษายน ค.ศ. 1992 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมณกระทรวงเพื่อการประกาศพระวรสารสู่ปวงชน จากข้อมูลและคำแนะนำซึ่งมาจากการปรึกษากับพระสังฆราช และศูนย์คริสตศาสนธรรมในดินแดนที่ทำงานอย่างกว้างขวาง
สมณกระทรวงเพื่อการประกาศพระวรสารสู่ปวงชนเขียนคู่มือสำหรับครูคำสอนขึ้นมา
บรรยายเกี่ยวกับคำสอน ความมีอยู่และวิธีการปฎิบัติ บรรยายประเด็นหลักของกระแสเรียกของครูสอนคำสอน เอกลักษณ์ ชีวิตจิต การเลือกและการฝึกหัดงานแพร่ธรรม งานอภิบาลและค่าตอบแทน ตามด้วยความรับผิดชอบของประชากรของพระเจ้า ต่อพวกเขาในเงื่อนไขของปัจจุบันกาลและในอนาคตอันใกล้
จุดประสงค์ของคู่มือสำหรับครูสอนคือ การเปลี่ยนโครงการเกี่ยวกับคำสอนของระดับชาติและสังฆมณฑล
ในบทนำของเอกสารได้กล่าวถึงจุดประสงค์อย่างชัดเจน
คู่มือจะถูกใช้เป็นหนังสืออ้างอิงจะเป็นแหล่งของความเป็นเอกภาพ และการสนับสนุนสำหรับครูคำสอน โดยผ่านทางพวกเขาสำหรับชุมชน คริสตชน สมณกระทรวงเพื่อการประกาศพระวรสารสู่ปวงชน จึงได้เสนอต่อสภาพระสังฆราชและพระสังฆราชแต่ละองค์ ในการเป็นความช่วยเหลือชีวิตและพันธกิจของพระศาสนจักรของครูคำสอน และเป็นพื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนโครงการและผู้อำนวยการคำสอนระดับชาติและสังฆมณฑล
5.1
โครงสร้างของ GC
คู่มือสำหรับครูคำสอนแบ่งออกเป็น
3 ตอน โดยมีบทนำและบทสรุปสั้นๆ ตอนที่สำคัญที่สุดของเอกสารคือ ตอนแรกที่มีชื่อว่า “อัครสาวกที่เคยเกี่ยวเนื่องกัน”
คาทอลิกทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปถูกเรียกจากพระจิตเจ้าให้ประกาศข่าวดี และนอกเหนือจากกระแสเรียกทั่วไปนี้แล้ว ครูคำสอนได้รับการเรียกเป็นการเฉพาะเจาะจงโดยพระพรพิเศษ โดยพระศาสนจักรรับรองและยืนยันโดยอำนาจของพระสันตะปาปา” ครู คำสอนไม่ใช่เป็นตัวแทนธรรมดาของพระสงฆ์ แต่โดยสิทธิเป็นพยานของพระคริสตเจ้าในชุมชน” ความสำเร็จในพันธกิจของครูคำสอนขึ้นอยู่กับความลึกซึ้งในชีวิตจิต พระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 “ธรรมทูตที่แท้จริงคือนักบุญ
สามารถประยุกต์ได้โดยไม่ลังเลกับครูคำสอน เช่นเดียวกับสัตบุรุษทุกคน ครูคำสอนถูกเรียกให้ไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ และพันธกิจ” เช่น มีชีวิตอยู่โดยไม่มีกระแสเรียกของตน
‘ด้วยความกระตือรือร้นของนักบุญ’ ” ครูคำสอนควรได้รับการฝึกหัดในการเสวนา
การเข้าถึงวัฒนธรรม และการฟื้นฟูเอกภาพคริสตศาสนจักร คู่มือครูสอนคำสอนกำหนดรายละเอียดการพัฒนามนุษย์
และเน้นสำหรับคนยากจน รวมถึงเจตนารมณ์ของการฟื้นฟูพระคริสตศาสนจักร และการเสาวนากับศาสนาอื่นในขอบเขตซึ่งครูสอนคำสอนควรตระหนัก
ตอนที่ 2 ของเอกสารกล่าวถึงทางเลือกและการหล่อหลอมครูสอนคำสอน เอกสารได้ให้หน้ากระดาษจำนวนมากในเรื่องการหล่อหลอมครูสอนคำสอน ภาษาที่รุนแรงถูกใช้เพื่อเน้นความต้องการการฝึกหัดที่มีคุณภาพและการปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ความจริงมีว่าบุคคลไม่ควรหยุดการพัฒนาภายใน ธรรมชาติที่มีพลังของศีลล้างบาปและศีลกำลัง กระบวนการของการสนทนาอย่างต่อเนื่องและการเติบโตในความรักงานแพร่ธรรม
การเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวิธีการสอนที่พัฒนาให้ทันสมัยไม่หยุดยั้ง
ทุกวิธีการที่ผู้ปลูกฝังความเชื่อควรจะเกาะติดในการปลูกฝังต่อเนื่องในระหว่างที่ให้บริการ ตลอดหลักสูตรซึ่งควรจะครอบคลุมเรื่องมนุษย์ ชีวิตจิต คำสอนและการปลูกฝังงานแพร่ธรรม และพวกเขาควรจะได้รับการช่วยเหลือในสิ่งนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ปล่อยให้เป็นแนวคิดของเขาเอง
ตอนที่
3 กล่าวถึงความรับผิดชอบต่อครูคำสอน ครูคำสอนควรได้รับการเคารพและความซาบซึ้งใจ และขึ้นอยู่กับของเขตการบริการของเขา พวกเขาควรได้รับค่าตอบแทน “ ซึ่งต้องคำนึงถึงเรื่องของความยุติธรรมไม่ใช่ความกรุณา” คู่มือครูคำสอนยอมรับว่าปัญหาของค่าตอบแทนต้องได้รับการแก้ไข
โดยพระศาสนจักรท้องถิ่นแต่ต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง คู่มือเรียกร้องให้เราใส่ใจต่อสถานการณ์ทางสังคมที่หลากหลาย และหลักปฎิบัติที่ใช้อยู่ของพระศาสนจักรท้องถิ่นต่างๆ “ครูคำสอนในสนามงานไม่เพียงแต่จะแตกต่างจากพระศาสนจักรในยุคก่อนหน้าเท่านั้น แต่ในระหว่างพวกเขาเองมีความแตกต่างทางด้านบุคลิกลักษณะและการแสดงออกอย่างมาก
สรุปสั้นๆ GC ยืนยันว่าครูสอนมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการประกาศและบำรุงความเชื่อ
ควรเอาใจใส่ในการเตรียมครูคำสอน พระศาสนจักรที่ให้ความสนใจต่อความหมายของเอกสารนี้และได้พัฒนาการตอบสนองของท้องถิ่นที่เป็นรูปธรรมต่อการแนะนำ จะเป็นประภาคารที่ส่องแสงไปยังทุกคนที่ต้องการเห็น
5.2 ความสำคัญของการสอนคำสอนของ
GC
คู่มือครูสอนคำสอนมีความสำคัญอย่างมากในงานสอนคำสอน
แม้ว่าเอกสารนี้จะถูกเขียนโดยสมณกระทรวงแห่งการประกาศพระวรสารสู่ปวงชน สำหรับครูคำสอนใน “สนามงาน” หลักการของเอกสารที่เชื่อถือได้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับครูคำสอนทุกคนในพระศาสนจักร เอกสารยืนยันว่าการสอนคำสอนเป็นงานหลักของพระศาสนจักร ครูคำสอนเป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบเป็นเบื้องต้นในงานนี้
เน้นย้ำการอบรมในการพัฒนาครูคำสอนให้มีพรสวรรค์ที่เปี่ยมด้วยเจตนารมณ์ ตลอดทั่วภาษาของเอกสารให้คะแนนความสำคัญของงานครูคำสอนต่ำเกินไป
ลักษณะเด่นเฉพาะตัว “เป็นที่ต้องการอย่างมาก”และ “แน่นอน” ครูคำสอนมักจะมีบทบาทสำคัญมากในการประกาศพระวรสารของฆราวาส แม้ในปัจจุบันพวกเขาถือว่าเป็นผู้ประกาศพระวรสารที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ ตามที่สมณสาสน์พระพันธกิจของพระผู้ไถ่ (Redemptoris Missio) กล่าวไว้อย่างถูกต้อง การใช้คู่มือคำสอนด้วยความขยันและศรัทธาในพระศาสนจักรทั้งมวลขึ้นอยู่กับหน่วยงาน (Dicastery) การแพร่ธรรมของเราจะช่วยไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของครูสอนคำสอน แต่ยังรับประกันการเจริญเติบโตที่ตกลงร่วมกันในภาคส่วนนี้ที่มีความสำคัญมากสำหรับอนาคตของพันธกิจในโลก
หลักการของคู่มือสำหรับครูคำสอนเป็นคู่มือที่เชื่อถือได้สำหรับชุมชนท้องถิ่นใดๆ
ก็ตาม
6. คู่มือทั่วไปสำหรับการสอนคำสอน (GDC– 1997
คู่มือทั่วไปสำหรับการสอนคำสอน ถูกพิมพ์เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1997
และได้รับการเตรียมการโดยสมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์ เอกกสารนี้เป็นการปรับปรุงคู่มือการสอนคำสอนทั่วไปซึ่งพิมพ์ในปี
ค.ศ. 1971 การปรับปรุงนี้เป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากว่าการพิมพ์คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกในปี
ค.ศ. 1992 และ ระยะเวลา 30 ปี ระหว่างการสรุปของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 และจุดเริ่มต้นของสหสวรรษที่
3 การพิมพ์หนังสือคำสอนพร้อมกับการแทรกแซง-ที่กล่าวไว้ล่วงหน้าของอำนาจการสอน ในพระศาสนจักร ทำให้จำเป็นต้องปรับปรุงคู่มือการสอนคำสอนทั่วไป เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนเครื่องมือเทววิทยาเรื่องการอภิบาลที่มีคุณค่านี้ ให้เข้ากับสถานการณ์และความจำเป็นใหม่ เป็นการบริการต่อพระศาสนจักรโดยรวม ซึ่งสันตะสำนักเสาะหาเพื่อตรวจเทียบมรดกนี้และเพื่อจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ประโยชน์ในจุดประสงค์เกี่ยวกับการสอนคำสอน
งานปรับปรุงคู่มือทั่วไปสำหรับการสอนคำสอนนี้ เริ่มงานโดยสมณกระทรวงเพื่อพระสงฆ์โดยคณะพระสังฆราชและผู้เชี่ยวชาญในด้านเทววิทยาและการสอนคำสอน
ในการปรับปรุงคู่มือทั่วไปนี้ได้รับการเอาใจใส่ในเรื่องแรงบันดาลใจและเนื้อหาดั้งเดิม
สภาพระสังฆราชและผู้เชี่ยวชาญได้รับการปรึกษาในฐานะสถาบันและศูนย์กลางหลัก เกี่ยวกับการสอนคำสอนในรูปแบบปัจจุบัน คู่มือทั่วไปสำหรับการสอนคำสอนเสาะหาที่จะมาถึงจุดสมดุลระหว่างหลักการสำคัญ 2 ประการ ด้านหนึ่งคือ เนื้อหาของการสอนคำสอนในการประกาศพระวรสารซึ่งคิดโดย
Evangelii Nuntiandi
อีกด้านหนึ่งคือความเหมาะสมของเนื้อหาของความเชื่อ ความที่นำเสนอในหนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก
คู่มือได้กล่าวถึงพระสังฆราชและบุคคลผู้รับผิดชอบต่อการสอนคำสอนเป็นส่วนใหญ่
กล่าวด้วยว่าคู่มือที่ได้รับการปรับปรุง
“ใช้ประโยชน์เพื่อการอบรมบุคคลซึ่งเตรียมตัวบวชเป็นพระสงฆ์ ในการอบรมพระสงฆ์อย่างต่อเนื่องและในการอบรมครูสอนคำสอน
จุดประสงค์ของคู่มือนี้เหมือนกับคู่มือการสอนคำสอนทั่วไปในปี
ค.ศ. 1971 “พยายามที่จะจัดเตรียมหลักการเทววิทยาเรื่องการอภิบาลพื้นฐาน ซึ่งนำมาจากอำนาจการสอนในพระศาสนจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้รับการแนะจากสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่
2 ซึ่งสามารถมุ่งเน้นและจะสานกิจกรรมอภิบาลของหน้าที่การประกาศข่าวดีได้ดียิ่งขึ้น และการสอนคำสอนที่เห็นได้ชัดๆ รองลงมาคือ “ตอนท้ายสุดของคู่มือเพื่อช่วยเป็นส่วนประกอบของคู่มือการสอนคำสอนและหนังสือคำสอน
6.1 โครงสร้างของ GDC
คู่มือการสอนคำสอนทั่วไปรักษาโครงสร้างพื้นฐานของคู่มือการสอนคำสอนของปี
ค.ศ. 1971 คู่มือการสอนคำสอนทั่วไปแบ่งเป็น 6 ตอน โดยมีบทนำและบทสรุปสั้นๆ บทนำ เริ่มต้นจากความเชื่อและความไว้ใจในพลังแห่งเมล็ดพันธุ์พระวาจา แนวทางจุดประสงค์เพื่อการตีความและความเข้าใจมนุษย์และบริบทของพระศาสนจักร
ตอนที่ 1
แสดงการสอนคำสอนในพันธกิจการประกาศพระวรสารของพระศาสนจักร ตอนนี้แบ่งออกเป็น 3 บท
การสอนคำสอน, เหนือสิ่งอื่นใด, ในเอกสารสภาสังคายนา เรื่องการเผยพระวาจา (Conciliar Dei
Verbum) โดยวางในเนื้อหาของการประกาศพระวรสารดังที่เห็นใน
Evangelii Nuntiandi ; และ Catechesi Tradendae และนอกเหนือจากนั้นจุดประสงค์เพื่อทำให้ธรรมชาติของการสอนคำสอนกระจ่างชัด
ตอนที่ 2
กล่าวถึงสารแห่งพระวาจาซึ่งประกอบไปด้วย 2 บท บทที่ 1 ซึ่งมีชื่อว่าบรรทัดฐานและเกณฑ์สำหรับการแสดงสารแห่งพระวาจาในการสอนคำสอน ผลักดันให้เนื้อหาทั้งหมดของบทที่สอดคล้องกันของเนื้อหาก่อนหน้าจากมุมมองใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงคืบหน้า บทที่ 2 ซึ่งใหม่ทั้งหมด, เหมาะสมที่จะใช้แสดงหนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก เพื่อเป็นจุดอ้างอิงสำหรับการถ่ายทอดความเชื่อในการสอนคำสอน และเพื่อการเตรียมหนังสือคำสอนในระดับท้องถิ่น บทนี้ยังให้ขอบข่ายของหลักการพื้นฐานเพื่อใช้ในการรวบรวมหนังสือคำสอนในพระศาสนจักรท้องถิ่นเป็นการเฉพาะ
ตอนที่ 3
กล่าวถึงวิชาการสอนความเชื่อ ตอนนี้แบ่งเป็น
2 บท และบทแรกเป็นวิชาการสอนเกี่ยวกับพระเจ้า
ทรัพยากร และรูปแบบของการสอนความเชื่อ
และบทที่สองชื่อว่า “องค์ประกอบของระเบียบแบบแผน” ตอนนี้ได้ถูกปรับปรุงเพื่อกำหนดองค์ประกอบหลักของวิธีการสอนความเชื่อ ซึ่งได้รับการดลใจโดยวิธีการสอนที่มาจากพระเจ้า
ในขณะที่คำถามนี้ในเบื้องต้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทววิทยา แต่ก็เกี่ยวข้องกับมนุษย์ศาสตร์ ด้วย
ตอนที่ 4 มีชื่อว่า “บุคคลที่ต้องได้รับการสอนคำสอน” ในบทสั้นๆ 5 บท
ซึ่งให้ความสนใจต่อสถานการณ์และบริบทที่แตกต่างกันของบุคคลที่จะได้รับการสอนคำสอน ต่อเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ทางสังคมศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคำถามเรื่องการเข้าถึงวัฒนธรรม
ตอนที่ 5 เน้นเรื่องศูนย์กลางของพระศาสนจักรแต่ละแห่งเป็นการเฉพาะและหน้าที่ลำดับต้นๆในการสนับสนุน จัดการ
ตรวจตรา และประสานงานกิจกรรมต่างๆ
เกี่ยวกับการสอนคำสอน ความสำคัญพิเศษคือการอธิบายบทบาทที่เหมาะสมให้แก่ผู้แทนต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการสอนคำสอน (ผู้ซึ่งแน่นอนที่สุด,ต้องขึ้นอยู่กับพระสงฆ์ของแต่ละพระศาสนจักร)
และข้อกำหนดที่จำเป็นสำหรับการอบรมตามลำดับ
บทสรุป สนับสนุนการเพิ่มกิจกรรมการสอนคำสอนในยุคสมัยของเรา สรุปด้วยการวอนขอความเชื่อจากการทำงานของพระจิตเจ้า และการบรรลุผลดีของการหว่านพระวาจาของพระเจ้าด้วยความรัก
6.2 ความสำคัญเกี่ยวกับการสอนคำสอนของ
GDC
คู่มือทั่วไปสำหรับการสอนคำสอน แสดงถึงการสอนคำสอนในฐานะเป็นศาสนบริการด้านพระวาจา ซึ่งปรากฏออกมาจากการเผยแสดงของพระเจ้า เอกสารยืนยันว่าการสอนคำสอนเป็นความสำคัญในกระบวนการของการประกาศพระวรสาร และคำบรรยายนี้เป็นการสนับสนุนที่สำคัญ กระบวนการในการประกาศพระวรสารไม่เพียงแต่รวมถึงประกาศพระวาจาของพระเจ้าไปยังผู้ไม่มีความเชื่อเท่านั้น แต่ยัง “เป็นพยานของคริสตชน
การเสวนา และการแสดงความกรุณา การประกาศวาจาของพระเจ้าและการเรียกให้กลับใจ
การเตรียมตัวเป็นคริสตชนและการรับเข้าเป็นคริสตชน การก่อตั้งชุมชนคริสตชนโดยใช้วิธีการของศีลศักดิ์สิทธิ์และศาสนบริกร ในความเห็นพ้องกับเอกสารของพระศาสนจักรก่อนหน้านี้ GDC แสดงให้เห็นเป้าหมายของการสอนคำสอนเพื่อการกลับใจและเสริมสร้างความเชื่อ การสอนคำสอนบรรลุเป้าหมายโดยผ่านทางงานหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกัน
ซึ่งบรรยายในลักษณะของการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับความเชื่อ
การศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรม การอบรมด้านศีลธรรม
การสอนให้สวดภาวนา การรับเข้าเป็นคริสตชนและการศึกษาเกี่ยวกับชีวิตและพันธกิจของชุมชน ซึ่งให้ความสำคัญกับการสอนคำสอนผู้ใหญ่และกล่าวว่าเป็นรูปแบบสำคัญของการสอนคำสอน
การสอนคำสอนเป็นข้อกำหนดของพระศาสนจักร เป็นงานของพระศาสนจักรซึ่งพระศาสนจักรทั้งมวลเรียกร้องให้ตนเองกลับใจ และเริ่มต้นชีวิตคริสตชนใหม่ สัญลักษณ์ของการสอนคำสอน แหล่งที่มาคือองค์พระเยซูคริสตเจ้า คู่มือให้ความสำคัญต่อการเข้าถึงวัฒนธรรมของข่าวดีของพระวาจาและตอบรับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของบุคคลที่ได้รับการสอนคำสอน
คู่มือทั่วไปสำหรับการสอนคำสอนแสดงให้เห็นงานพื้นฐานของการสอนคำสอน ในฐานะของการช่วยเหลือชุมชนคริสตชน “ในการฉลองและไตร่ตรองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้า งานนี้สามารถทำได้โดยการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับความเชื่อ
การศึกษาพิธีกรรม การสร้างศีลธรรมและการสอนให้สวดภาวนา สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อการสอนคำสอนละเลยองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไป
ความเชื่อแบบคริสตชนจะไม่บรรลุการพัฒนาอย่างเต็มที่ งานแต่ละอย่างเหล่านี้ต้องการคำสัญญาในการประกาศพระวรสารของโลก
คู่มือที่ได้รับการปรับปรุงนี้แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ของธรรมชาติการสอนที่มีค่าและเต็มเปี่ยม และท้าทายชุมชนคาทอลิกทั้งหมดให้เข้ามาร่วมมือกัน
………………………………………………………………………………………………………………
แปลจากหนังสือ Introduction to Catechetics : บทที่ 13 Catechetical Documents of the Church
หน้า 201-220โดย...อาจารย์สมศรี
มธุรสสุวรรณ
ตรวจทานโดย...พระสังฆราชวีระ อาภรณ์รัตน์